ตาลีบัน
ฏอลิบาน หรือ ตอลิบาน หรือมักสะกดว่า ตาลีบัน (อังกฤษ: Taliban, อาหรับ: طالبان, ṭālibān หมายถึง "นักศึกษา" ในภาษาอาหรับ) เป็นกลุ่มก่อการร้ายอิสลามและกลุ่มการเมืองซึ่งปกครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศอัฟกานิสถานและเมืองหลวงกรุงคาบูลในฐานะ "รัฐอิสลามแห่งอัฟกานิสถาน" นับแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2539 แต่ได้รับการรับรองทางการทูตจากสามรัฐเท่านั้น ได้แก่ ประเทศปากีสถานซาอุดิอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
หลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 ฏอลิบานถูกโค่นล้มโดยปฏิบัติการเสรีภาพยั่งยืน (Operation Enduring Freedom) สมาชิกส่วนใหญ่หลบหนีไปยังปากีสถานประเทศเพื่อนบ้าน ที่ซึ่งมีการรวมกลุ่มกันใหม่เป็นขบวนการกบฏเพื่อสู้รบกับสาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปลาย พ.ศ. 2544 และกองกำลังสนับสนุนด้านความมั่นคงนานาชาติ (International Security Assistance Force) นำโดยนาโต
ผู้นำฏอลิบานส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากรากฐานนิยมเดียวบัน (Deobandi fundamentalism) สมาชิกหลายคนปฏิบัติตามบรรทัดฐานทางสังคมและวัฒนธรรมที่เรียกว่า พัชตุนวาลี (Pashtunwali) ขบวนการฏอลิบานส่วนใหญ่ประกอบขึ้นจากสมาชิกชนเผ่าพัชตุน (Pashtun) ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่ที่สุดในอัฟกานิสถาน[21] ผู้นำหลักของขบวนการฏอลิบาน คือ มุลลาห์ มุฮัมมัด โอมาร์ (Mullah Mohammad Omar)[22]ผู้บัญชาการดั้งเดิมของโอมาร์เป็น "อดีตผู้บัญชาการทหารหน่วยเล็กและครูมาดราซาห์ผสมกัน"[23]
ขณะอยู่ในอำนาจ ฏอลิบานได้บังคับใช้การตีความกฎหมายชารีอะฮ์หนึ่งในที่เข้มงวดที่สุดที่เคยมีมาในโลกมุสลิม[24] อย่างไรก็ดี ข้อวิจารณ์ส่วนใหญ่มาจากนักวิชาการมุสลิมผู้นำ[25] ฏอลิบานได้เป็นข่าวฉาวโฉ่ในระดับโลกจากการปฏิบัติต่อสตรี[26]
พันธมิตรของฏอลิบานประกอบด้วยกองทัพปากีสถาน เช่นเดียวกับกลุ่มในอาหรับและเอเชียกลาง[27][28][29] อัลกออิดะฮ์ให้การสนับสนุนฏอลิบานด้วยกลุ่มนักสู้จากประเทศอาหรับและเอเชียกลาง ในช่วงท้ายของสงคราม มีการประเมินว่ากองกำลังกว่า 45,000 คนสู้รบโดยถือข้างฏอลิบาน ขณะที่เพียง 14,000 คนถือข้างอัฟกานิสถาน[28][30] ปัจจุบัน ฏอลิบานปฏิบัติการในอัฟกานิสถานและปากีสถานตะวันออกเฉียงเหนือ เจ้าหน้าที่สหรัฐว่า หนึ่งในสำนักงานใหญ่ของฏอลิบานตั้งอยู่ในหรือใกล้กับเคว็ตตา (Quetta) ประเทศปากีสถาน[31] ฏอลิบานปฏิบัติการโจมตีต่อประชากรพลเรือน ตามรายงานของสหประชาชาติ ฏอลิบานเป็นผู้รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของพลเรือน 2,477 คน (76% ของยอดเสียชีวิตทั้งหมด) ในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2553[32]

